ดร.มหาธีร์ มูฮัมหมัด (Datuk Seri Dr. Mahathir bin Mohamad) เป็นหนึ่งในนายกรัฐมนตรีที่มีชื่อเสียงของมาเลเซีย เขาเป็นนายกที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดถึง 22 ปี นับตั้งแต่ปี 1981-2003 ทั้งยังเป็นผู้วางรากฐานพัฒนาประเทศและนำพามาเลเซียไปสู่ความทันสมัย จนถึงทุกวันนี้ดร.มหาเธร์ยังคงมีอิทธิพลในแวดวงการเมือง และถูกยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของมาเลเซีย
ดร.มหาธีร์ มูฮัมหมัด เกิดวันที่ 10 กรกฏาคม 1925 ในรัฐเคดะห์ ประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันมีอายุ 91 ปี เขาเป็นบุตรชายคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมดสิบคน บิดาเป็นผู้อพยพเชื้อสายอินเดีย ประกอบอาชีพครู ส่วนมารดาเป็นชาวมลายู ดร.มหาธีร์ โมฮัมมัด สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ คิง เอ็ดเวิร์ดที่ 7 ในปี ค.ศ. 1953 เขาทำงานเป็นแพทย์ได้ 2 ปี ก่อนจะผันตัวเข้าสู่แวดวงการเมืองและได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามสมาชิกของพรรคอัมโน เขาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ได้ 14 ปี ก่อนจะไปดำรงตำแหน่งเป็นวุฒิสมาชิก และรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ แต่ในปี ค.ศ. 1969 เขาถูกขับออกจากพรรคอัมโน เนื่องจากการวิจารณ์นายกรัฐมนตรี ตุนกู อับดุล ราห์มัน ว่าไม่เข้าร่วมกับชาวมลายูในการต่อต้านการครอบงำทางเศรษฐกิจของชาวจีน จนกระทั่งปี ค.ศ. 1972 นายกรัฐมนตรี ตนกู อับดุล ราห์มัน ลาออก ท่านจึงได้กลับเข้าพรรคอัมโนอีกครั้ง ต่อมาเขาได้เป็นรัฐมนตรีในหลายกระทรวงและก้าวไปถึงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่สี่ของมาเลเซีย
สำหรับบทบาทในฐานะนายกรัฐมนตรีของดร.มหาธีร์ มูฮัมหมัดนั้นมีมากมาย เขายึดนโยบาย “มองตะวันออก” โดยการมองญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาประเทศ การนำ “วิถีเอเชีย” (Asian Way) มาใช้แก้ปัญหาและใช้เศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ และเคยได้เสนอแนวคิดที่จะรวมอาเซียนเข้ากับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งเรียกว่า “กลุ่มเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก” (East Asian Economic Caucus - EAEC) แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะไม่ได้มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เขายังสืบทอดนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Policy หรือ NEP) โดยปรับปรุงใหม่ แต่ให้โอกาสแก่บุตรของแผ่นดิน ได่แก่ชาวมลายูและชนพื้นเมืองเดิม (Bumiputra) ผ่านการเพิ่มความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการศึกษา เขายังเป็นคนที่ร่างวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจสำหรับมาเลเซีย ในปี 1991 เขาประกาศใช้นโยบายวิสัยทัศน์ 2020 (Wawasan 2020) โดยมาเลเซียมุ่งมั่นที่จะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเต็มที่ภายในระยะเวลา 30 ปี มีเป้าหมายเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อว่านโยบายนี้จะค่อยๆทำลายลงปัญหาทางชาติพันธุ์ลง ด้วยบางโครงการของรัฐบาลนั้นเปิดกว้างมากขึ้นสำหรับชาติพันธุ์อื่นๆ และมันก็ประสบความสำเร็จเพราะในปี 1995 ระดับความยากจนของมาเลเซียลดลง รัฐบาลตัดภาษีนิติบุคคลและเปิดเสรีทางการเงินเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวกว่าร้อยละเก้าต่อปี ช่วยกระตุ้นให้ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ พยายามที่จะเลียนแบบนโยบายของดร.มหาธีร์
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง มาเลเซียเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากการควบคุมเงินทุนและกำหนดค่าเงินริงกิตแบบตายตัว และยังมี “วิสัยทัศน์ 2020” เป็นแผนพัฒนามาเลเซียให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ดร.มหาธีร์สามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มาเลเซียกลายเป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปพร้อมกับการปลูกฝังศีลธรรม รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และสร้างความเป็นประชาธิปไตยแก่ประชาชน ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจนี้ทำให้ผลงานของดร.มหาธีร์กูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้เขายังเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความเป็นชาตินิยมทางเศรษฐกิจ ทำให้เขาคิดผลิตรถยนต์ขึ้นเพื่อใช้ภายในประเทศใช้ชื่อว่า “โปรตอน” จึงได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากความไม่เข้าใจว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศจากประเทศเกษตรกรรมเป็นประเทศอุตสาหกรรมได้อย่างไร แต่เขาสามารถทำได้และสร้างความภาคภูมิใจแก่คนในชาติ ทั้งนี้ในสมัยของดร.มหาธีร์ยังมีการสร้างตึกแฝดเปโตรนาส และเมืองราชการปุตราจายาที่กลายเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของชาวมาเลเซียและเป็นสถานที่สำคัญมาจนทุกวันนี้
ดร.มหาธีร์ เปิดมาเลเซียให้เป็นแหล่งเงินทุนแก่นักลงทุนต่างชาติ และโอนกรรมสิทธิ์ทางเทคโนโลยีและบริการขั้นพื้นฐาน เช่น การสื่อสาร และโครงสร้างพื้นฐานเข้ามาเป็นของรัฐ รวมทั้งการพัฒนาการศึกษา และการใช้กลยุทธ์ที่จะนำมาเลเซียเข้าสู่เวทีโลก แต่บ่อยครั้งที่การกระทำของดร.มหาธีร์ มีลักษณะแบบเผด็จการทางความคิด เช่น การสั่งปลดนายอันวาร์ อิบราฮิม ออกจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เนื่องจากมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และเข้าควบคุมกระทรวงการคลังด้วยตัวเอง ซึ่งเขากลับแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งได้ โดยไม่ขอความช่วยเหลือจากกองทุนเงินระหว่างประเทศ (IMF) นอกจากนี้ยังมีการจับตัวฝ่ายค้านรัฐบาลกว่าร้อยคนมากักขัง การสั่งปิดหนังสือพิมพ์ชั่วคราวสามฉบับ เพื่อระงับความตึงเครียดด้านเชื้อชาติ กรณีการจัดระบบการศึกษาให้แก่ชาวจีนจีน รวมถึงการที่ประธานศาลฎีกาถูกปลดออกจากตำแหน่งภายหลังศาลฎีกาสนับสนุนคำร้องของพรรคฝ่ายค้าน
แต่ในขณะเดียวกันเรื่องของสิทธิสตรีนับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ดร.มหาธีร์ให้ความสนใจ เกิดการจัดตั้งกระทรวงพัฒนาสตรีและครอบครัวเพื่อส่งเสริมให้ผู้หญิงมาเลเซียมีการศึกษาที่สูงขึ้น มีความรู้มากขึ้น และพร้อมจะเป็นผู้นำของประเทศได้ในอนาคต ส่วนในเรื่องศาสนาดร.มหาธีร์ ต้องการที่จะลบภาพผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิมออกจากสายตาเวทีโลก โดยให้มาเลเซียเป็นต้นแบบของประเทศอิสลามอื่นๆ ซึ่งเขาเคยตั้งข้อสังเกตถึงเหตุการณ์ 9/11 ว่าอาจเป็นฝีมือของชาวยิวที่หวังจะสร้างภาพลักษณ์แง่ลบให้แก่ชาวมุสลิมประณามสหรัฐฯว่ามีอคติต่อประเทศมุสลิมมากเกินไป วิจารณ์ประเทศมุสลิมในภูมิภาคนี้ในทำนองว่ามีคนมากกว่าแต่ล้าหลังกว่าอิสราเอล และวิจารณ์ว่านักปราชญ์ในตะวันออกกลางถึงการตีความศาสนาอิสลามให้ซับซ้อนเกินไป ควรยึดถือตามคำภีร์อัลกุรอ่านต้นฉบับ และยังวิจารณ์เกี่ยวกับอาเซียนว่าเติบโตช้า ขาดการพึ่งพาซึ่งกันและกัน
จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 2002 ดร.มหาธีร์ มูฮัมหมัด ประกาศลาออกจากตำแหน่งอย่างไม่มีใครคาดหมาย แต่กระนั้นหลังจากที่ลงจากตำแหน่งแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า ดร.มหาธีร์ ยังคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่ โดยเป็นผู้วิจารณ์เกี่ยวกับการเมือง เช่น การตั้งคำถามถึงกระแสข่าวการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค พร้อมชี้ว่าหากไม่แสดงจุดยืนของตนในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างแน่นอน และก่อนหน้านี้ท่านเคยรณรงค์ต่อต้านนายอับดุลลาห์ บาดาวี จนทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีต้องออกจากตำแหน่ง และให้นายนาจิบเป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียแทน
จากการวางรากฐานของดร.มหาธีร์ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ แบบพึ่งตนเอง สร้างสัญลักษณ์ของชาติ ทำให้มาซยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจน้อยที่สุด และมีส่วนช่วยผลักดันให้มาเลเซียเกิดการเปลี่ยนแปลงจากประเทศเกษตรกรรมไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม ทำให้มาเลเซียกลายเป็นหนึ่งในผู้นำทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายต่อรัฐบาลมหาธีร์ โดยเฉพาะการเล่นพรรคเล่นพวกของพรรคอัมโน
มนัสวี นาคสุวรรณ์
กรกฎาคม 2559
เอกสารสำหรับค้นคว้าเพิ่มเติม
จุลนภ ศานติพงศ์ และคณะ. (2556). 17 ผู้ทรงอิทธิพลในอาเซียน. บริษัทสถาพรบุ๊คส์ จำกัด. บริษัท วี. พริ้นท์ จำกัด
C.Mary Turnbull. รองศาสตราจารย์ทองสุก เกตุโรจน์(แปล). (2540). ประวัติศาสตร์มาเลเซีย สิงคโปร์ และ บรูไน. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. ศูนย์พัฒนาหนังสือ
Mahathir Mohamad. Search on 6 July 2016, Retrieved from Wikipedia: https://en.wikipedia.org/wiki/Mahathir_Mohamad.