อาบู บาการ์ อาลีเป็นอีกหนึ่งในหลายตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นทั้งช่วงเวลาอันรุ่งเรืองเต็มไปด้วยสีสัน และฉากจบที่เงียบงันของยุคทองภาพยนตร์มลายู เขาเกิดเดือนมกราคม 1928 เริ่มเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในยุคสถาปนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างจริงจังช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเข้าได้ทำงานในตำแหน่งแรงงานจิปาถะกับมลายูฟิล์มโปรดักชั่นส์ในช่วงปลายปี 1947 บาการ์ อาลีได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เมื่อได้โอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมในขั้นตอนการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Pisau Berachun (บี.เอส. ราชหรรษ์, 1948) ในทันทีนั้นเองที่เขาเริ่มหลงใหลในกล้องถ่ายภาพยนตร์ แต่เนื่องจากยังเป็นเพียงแค่คนงานทั่วไปซึ่งถูกกำชับไม่ให้เข้าไปยุ่งกับอุปกรณ์ราคาแพง เขาจึงหันไปมุ่งมั่นหาความรู้ด้วยตัวเองผ่านการซื้อหาศึกษาจากหนังสือและนิตยสารที่แนะนำกล้องภาพยนตร์และเทคนิคการถ่ายภาพยนตร์
ต่อมาเมื่อทางสตูดิโอฯ ได้จัดตั้งกองถ่ายที่สองขึ้น อาบู บาการ์ อาลีได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับภาพ โดยภาพยนตร์เรื่องแรกในบทบาทนี้คือเรื่อง Kembar ภาพยนตร์ปี 1950 กำกับโดย เอส. รามานาธาน หลังจากที่เข้าไปมีส่วนร่วมในภาพยนตร์อีกสี่เรื่อง เขาตัดสินใจลาออกจากมลายูฟิล์มโปรดักชั่นส์ ด้วยยืนยันที่จะลงเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมในขณะที่ทางผู้จัดการสตูดิโอไม่อนุญาต ช่วงระยะต่อมานั้น เขารับทำงานแบบชั่วคราวกับสตูดิโอสุนันตารา แต่สตูดิโอแห่งนี้ได้ปิดตัวลงหลังเขาเข้าไปทำงานได้ไม่กี่เดือน บาการ์ อาลีเข้าทำงานต่อกับริเมาอยู่สองปี ก่อนที่ราวปี 1954 หรือ 1955 ชอว์บราเดอร์ได้ชวนเขากลับสู่มลายูฟิล์มโปรดักชั่นส์ ในฐานะผู้กำกับภาพหลักอย่างเต็มตัว
นับแต่นั้น อาบู บาการ์ อาลีก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในฝ่ายทีมงานที่มีบทบาทเด่นของวงการตลอดยุคสตูดิโอ ชื่อเขาในฐานะผู้กำกับภาพนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะปรากฏเคียงคู่กับภาพยนตร์โด่งดังหลายเรื่องที่กำกับและนำแสดงโดย พี. รามลี กระทั่งอาจกล่าได้ว่าเป็นผู้กำกับภาพคู่บุญของรามลี บาการ์ อาลีสร้างชื่อให้กับตนเองและวงการภาพยนตร์มลายูเมื่อได้รับรางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยมสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Sumpah Orang Minyak (พี. รามลี, 1958) จาก Asian Film Festival คราที่ฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพในปี 1958 และได้รับรางวัลเดียวกันจากเทศกาลเดียวกันอีกครั้งในปี 1962 ซึ่งญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ โดยครั้งนี้จากผลงานการกำกับภาพที่โดดเด่นในภาพยนตร์เรื่อง Ibu Mertuaku (พี. รามลี, 1962) ไม่ได้มากมายหลายครั้งนักที่ผลงานการสร้างสรรค์จากวงการภาพยนตร์มลายูจะก้าวไปได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์ระดับนานาชาติ สองรางวัลจากเทศกาลสำคัญของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกสำหรับบาการ์ อาลี ส่งให้เขาสมควรได้รับการบันทึกไว้ในฐานะบุคลากรทรงคุณค่าของวงการอย่างแท้จริง
ต่อมาเมื่อชอว์บราเดอร์ปิดการดำเนินงานของมลายูฟิล์มโปรดักชั่นส์ในปี 1967 อาบู บาการ์ อาลีเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังภายใต้การไหลหลากของกระแสความเปลี่ยนแปลง เขาหันไปทำงานผลิตนิตยสารและละครโทรทัศน์ที่ฝั่งมาเลเซียอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าไปทำงานในตำแหน่งผู้กำกับภาพให้กับซาบาห์ฟิล์มโปรดักชั่นส์ในปี 1974 แม้ว่าซาบาห์ฟิล์มจะมีบทบาทช่วยต่ออายุและทำให้บุคลากรวงการภาพยนตร์มลายูจากสิงคโปร์จำนวนหนึ่งได้หวนคืนสู่วงการ แต่ไม่ใช่สำหรับอาบู บาการ์ อาลี เขาออกจากซาบาห์ฟิล์มในช่วงราว 2-3 ปีหลังจากนั้นด้วยเหตุผลจากปัญหาค่าตอบแทน
ราวกลางทศวรรษ 1980 ซึ่งหนังสือพิมพ์ที่สิงคโปร์ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับเขา บาการ์ อาลีในวัย 59 ปีประกอบอาชีพเป็นคนสวน คอยดูแลบังกะโลที่เขตบูกิตตีมะห์บนเกาะสิงคโปร์ เขายังคงวาดหวังว่าหากมีใครเสนองานให้อีกครั้ง เขาพร้อมที่จะหวนคืนสู่วงการ และจะกอดกล้องถ่ายภาพยนตร์เหมือนพ่อแม่โอบกอดลูกในไส้ของตน แต่ดูเหมือนว่าหลังจากนั้นสาธารณชนจะไม่ได้ข่าวคราวจากเขาอีกเลย
จิรวัฒน์ แสงทอง
กรกฎาคม 2559