นาซาคอม (Nasakom) เป็นสโลแกนทางการเมืองอินโดนีเซียสมัยประธานาธิบดีซูการ์โน อันเป็นแนวคิดที่มุ่งหวังลดความขัดแย้งระหว่างกองทัพ พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย และขบวนการเคลื่อนไหวอิสลาม นอกจากนี้ นาซาคอมยังถูกใช้เสริมสร้างความชอบธรรมในการบริหารประเทศของซูการ์โนท่ามกลางกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์ต่างกัน
นาซาคอมเป็นคำย่อและสโลแกนที่คิดขึ้นโดยประธานาธิบดีซูการ์โน มีที่มาจากมโนทัศน์หลัก 3 ประการ คือ Nationalis (ชาตินิยม) Agama (ศาสนา) และ Komunis (คอมมิวนิสต์) โดยรวมกันกลายเป็นคำว่า Nasakom สโลแกนทางการเมืองนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างชอบธรรมต่อระบบประชาธิปไตยแบบชี้นำ (Guided democracy) ของประธานาธิบดีซูการ์โน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากยกเลิกระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ที่เขาเห็นว่าไม่สามารถธำรงความเป็นเอกภาพและขจัดความขัดแย้งทางการเมืองได้ ทั้งนี้ เนื่องจากหลังได้รับเอกราชนั้น อินโดนีเซียเผชิญกับสภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เกิดความแตกแยกระหว่างฝ่ายการเมืองหลากหลายที่พยายามเข้ามามีบทบาทนำในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทัพแห่งชาติ พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย และกลุ่มขบวนอิสลาม นาซาคอมจึงถูกนำมาใช้ไม่เพียงในฐานะรากฐานเพื่ออนาคตของชาติเกิดใหม่ แต่ยังเป็นแนวคิดที่ประสานความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในอินโดนีเซียระหว่างอุดมการณ์ชาตินิยม คอมมิวนิสต์ และอิสลาม
สำหรับสโลแกนนาซาคอมนั้น สะท้อนความสามารถทางวาทศิลป์ของซูการ์โน และแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ทางการเมืองของเขา ที่พยายามผสานความเชื่อกับความคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน ดังปรากฏในบทความของเขาซึ่งได้รับตีพิมพ์เมื่อปี 1929 ว่าด้วยเรื่อง ชาตินิยม อิสลาม และมาร์กซิสม์ (Nationalism Islam and Marxism) เมื่ออินโดนีเซียได้รับเอกราช กลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ยึดถืออุดมการณ์ต่างกันต่างก็แย่งชิงการนำทางการเมือง เพื่อกำหนดรูปแบบอินโดนีเซียให้เป็นไปตามครรลองความเชื่อทางการเมืองของตน ไม่ว่าจะเป็นพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย กองทัพ หรือกลุ่มอิสลามที่ต้องการสถาปนารัฐอิสลามขึ้น ความขัดแย้งดังกล่าวก่อให้เกิดความตึงเครียดระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ อย่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้ ในช่วงที่ซูการ์โนเรืองอำนาจ ทำให้เขาจำเป็นต้องจัดวางตัวเองเป็นคนกลาง โดยสร้างสโลแกนและระบอบการเมืองที่สามารถควบคุมและวางสมดุลอำนาจท่ามกลางกลุ่มการเมืองต่างๆ ให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจและสามารถทำงานร่วมพัฒนาประเทศชาติไปด้วยกันได้
อย่างไรก็ตาม นาซาคอมของซูการ์โนถูกมองว่า สนับสนุนและเอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย เพื่อต้านทานกับอิทธิพลของกองทัพที่กำลังมีมากขึ้นมาเรื่อยๆ แต่การที่พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมากภายใต้การบริหารของซูการ์โน นโยบายที่เอนเอียงไปทางฝั่งโลกคอมมิวนิสต์ ตลอดจนความพยายามปกป้องพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียจากกองทัพที่พยายามเข้าควบคุมพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย สิ่งเหล่านี้สร้างความไม่พอใจและความตึงเครียดระหว่างกองทัพและพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียมากขึ้น เมื่อพรรคอมมิวนิสต์ออกแถลงการณ์วิจารณ์รัฐมนตรีและกองทัพ ส่งผลให้กองทัพเรียกคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ทุกคนเข้าสอบสวน และออกประกาศห้ามเคลื่อนไหวทางการเมืองในเขตสุลาเวสีใต้ กาลิมันตันใต้ และสุมาตราใต้ แต่ในเวลาต่อมา คำสั่งห้ามดังกล่าวก็ถูกยกเลิก และซูการ์โนเรียกทุกฝ่ายมาประชุมหารือร่วมกัน เพื่อย้ำเตือนวีรกรรมการต่อสู้เพื่อชาติในอดีตที่ผ่านมา โดยหวังจะลดความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างกลุ่มก้อนทางการเมืองต่างๆ ภายในประเทศ
แต่สุดท้ายแล้วมโนทัศน์นี้กลับสร้างปัญหามากกว่าหาทางออกให้แก่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ เนื่องจากซูการ์โนถูกมองว่าเอนเอียงไปทางพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทัพและองค์กรอิสลามที่ไม่พอใจซูการ์โนและอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียที่กำลังแผ่ขยาย หลังรัฐประหารที่ล้มเหลวในเดือนตุลาคม ปี 1965 หรือที่เรียกว่าเหตุการณ์เกสตาปู (Gestapu) โดยมีการกล่าวหาว่าพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียมีส่วนพัวพันจากการสนับสนุนของซูการ์โน เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์นี้ นำไปสู่การสูญเสียความน่าเชื่อเชื่อและอำนาจทางการเมืองของซูการ์โนอีกทั้งปูทางให้กองทัพสามารถรัฐประหารและถอดถอนซูการ์โนลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีได้สำเร็จ หลังจากนั้นกองทัพก็ได้รื้อถอนระบอบประชาธิปไตยแบบชี้นำและนาซาคอม รวมทั้งขจัดพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียอย่างรุนแรงจนราบคาบ ท้ายที่สุด สโลแกนนาซาคอมก็ค่อยๆ หายไปจากศัพท์ทางการเมืองของอินโดนีเซียนับแต่บัดนั้นมา
สถานการณ์ทางการเมืองหลังได้รับเอกราชภายใต้การนำของซูการ์โน ชวนให้นึกเทียบกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทยช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และบทบาทของจอมพล ป. พิบูลสงคราม แม้ว่ามีปัจจัยทางสังคมการเมืองแตกต่างกันหลายประการระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย แต่บทบาทผู้นำที่ยังมีบารมีของจอมพล ป. ในฐานะผู้ที่คอยถ่วงดุลอำนาจระหว่างกลุ่มการเมืองภายในประเทศ ก็ทำให้นึกถึงบทบาทของซูการ์โนในยุคที่เขายังครองอำนาจ รวมไปถึงชะตากรรมของซูการ์โนและจอมพล ป. พิบูลสงคราม พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียและคณะราษฎร ที่ถูกพันธมิตรของกองทัพร่วมมือกันกำจัดอย่างถอนรากถอนโคน จนสามารถยึดครองอำนาจปกครองประเทศอย่างมั่นคง อย่างไรก็ดี กองทัพอินโดนีเซียสามารถปกครองประเทศภายใต้การนำของซูฮาร์โตได้ยาวนาน จนกระทั่งซูฮาร์โตลงจากอำนาจเมื่อปี 1998 ปิดฉากยุคระเบียบใหม่ที่ปกครองอินนีโดเซียอย่างเผด็จการมากกว่า 30 ปี และอินโดนีเซียก็กลายเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีความหวัง แตกต่างจากไทยที่เผด็จการทหารวนเวียนยึดอำนาจแทรกแซงระบบประชาธิปไตยหนแล้วหนเล่า กระทั่งทุกวันนี้ เราก็ยังไม่รู้ว่าฟ้าสีทองผ่องอำไพของระบอบประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นเมื่อใด
บัญชา ราชมณี
เอกสารสำหรับค้นคว้าเพิ่มเติม
Crouch, H. (1978). The Army and Politics in Indonesia. New York: Cornell University Press.
Hindley, D. (1966). The Communist Party of Indonesia: 1951-1963. Berkelay: University of California Press.
Lloyd, G. J., & Smith, S. L. (Eds.). (2001). Indonesia Today: Challenges of History. Singapore: Institute of Southeast Asia Studies.
McIntyre, A. ( 2005). The Indonesian Presidency: The Shift from Personal toward Constitutional Rule. Lanham: Rowman & Littlefield Publishers.