ลี กวนยู (Lee Kuan Yew) นักการเมืองชาวสิงคโปร์อีกทั้งยังเป็นนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนแรกซึ่งปกครองประเทศเป็นเวลาสามทศวรรษ เขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์สมัยใหม่ และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเลขาธิการพรรคกิจประชาชน (People's Action Party) คนแรก และนำพรรคชนะการเลือกตั้งแปดครั้งตั้งแต่ปี 2502 ถึง 2533 และควบคุมการแยกสิงคโปร์จากประเทศมาเลเซียในปี 2508 เป็นบุคคลการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในทวีปเอเชียคนหนึ่ง
นายลี กวน ยู หรือแฮรี่ เป็นชาวสิงคโปร์รุ่นที่สี่ บรรพบุรุษอพยพมาจากมณฑลกวางตุ้งของจีนเมื่อราว 160 ปีก่อน เขาศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ที่ประเทศอังกฤษในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับปริญญาด้านกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Cambridge โดยได้เริ่มต้นเส้นทางการเมืองในปี พ.ศ 2497 ด้วยการก่อตั้งพรรค People’s Action Party หรือ PAP และได้รับเลือกเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาในอีก 1 ปีต่อมา ในปี พ.ศ 2502 พรรคกิจประชาชนชนะเลือกตั้งได้เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล และนายลี กวน ยู ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ คนแรกของสิงคโปร์ ต่อเนื่องมาจนถึง ปี พ.ศ 2533 รวมเวลา 31 ปีที่เขาอยู่ในตำแหน่ง
เป้าหมายหลักของนายกฯ ลี กวน ยู ในช่วงแรก คือการผนวกสิงคโปร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซีย แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งระหว่างตัวเขากับนายกฯ มาเลเซียในขณะนั้นคือนายอับดุล ราห์มัน ในช่วงหลังความวุ่นวายทางเชื้อชาติ ระหว่างชาวจีนกับชาวมุสลิมในมาเลเซียในปี พ.ศ 2507 – 2508 จนกระทั่งในวันที่ 9 ส.ค ปี พ.ศ 2509 นายกฯ อับดุล ราห์มัน ก็ขอให้มีการแยกประเทศ สร้างความสับสนให้กับนายกฯ ลี กวน ยู เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา นายลี กวน ยู เชื่อในเอกภาพระหว่างสิงคโปร์กับมาเลเซีย ทั้งด้านภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์
ในวัยเพียง 42 ปี ยังต้องการผลักดันให้สิงคโปร์เป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ โดยมีชีวิตประชาชนหลายล้านคนเป็นเดิมพัน นักวิเคราะห์เชื่อว่าความเข้มแข็งและความเป็นนักคิด นักวางแผน ของลี กวน ยู คือต้นแบบให้กับชาวสิงคโปร์ทั้งประเทศ ทำให้สิงคโปร์สามารถสร้างทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดได้ นั่นคือมนุษย์ เศรษฐกิจสิงคโปร์ภายใต้การนำของนายกฯ ลี กวน ยู เติบโตอย่างรวดเร็ว ตัวเลขจีดีพีเพิ่มขึ้นเกือบ 10% ติดต่อกันกว่า 10 ปี ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการจำกัดความรูปแบบการพัฒนาที่หลายประเทศนำไปปรับใช้ จนกลายเป็น 4 เสือเอเชีย ประกอบด้วย ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ นักลงทุนทั่วโลกต่างมุ่งหน้าไปสิงคโปร์ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางน้ำมัน การคมนาคมขนส่ง และการเงินของเอเชีย
ความเข้มแข็งเด็ดขาดของ ลี กวน ยู ก็ได้ทำให้เกิดลัทธิอำนาจนิยมขึ้น คือรัฐบาลสิงคโปร์มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการลงโทษผู้ที่ไม่เห็นด้วยหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นำไปสู่การจับกุมคุมขังนักการเมืองฝ่ายค้าน นักรณรงค์ และผู้นำสหภาพแรงงานต่างๆจำนวนมาก ปัจจุบัน สิงคโปร์ยังคงเป็นประเทศที่ควบคุมการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะอย่างเข้มงวด เมื่อปีที่แล้วหน่วยงาน Reporters Without Borders จัดอันดับเสรีภาพสื่อในสิงคโปร์ให้อยู่ในระดับต่ำสุดในกลุ่มประเทศแถบอาเซียน เป็นรองทั้งพม่า กัมพูชา อินโดนีเซีย และไทย จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยในเรื่องของเสรีภาพ ความเป็นประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ตลอดมา โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้นสร้างชาติภายใต้การนำของลี กวน ยู ซึ่งหลังลงจากตำแหน่งในปี 1990 แล้ว ลี กวน ยู ก็ยังมีบทบาทอิทธิพลอย่างสูงในตำแหน่ง Senior Minister (1990-2004) และ Minister Mentor (2004-2011) จนเกษียณอายุตัวเองในวัย 86 ปี และนายกรัฐมนตรีในปัจจุบันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกชายคนโตผู้สืบตระกูล ลี เซียน ลุง
แต่สุดท้ายนี้ สิงคโปร์ภายใต้การนำของลี กวน ยู ได้ชื่อว่าเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถพัฒนาจากการเป็นประเทศด้อยพัฒนาไปสู่ประเทศพัฒนาแล้ว (From Third World to First World) ได้ภายในหนึ่งชั่วอายุคน (น้อยกว่า 50 ปี) ด้วยผลงานที่ท่านได้ทำมาตลอดกว่าสามสิบปีในตำแหน่ง (25 ปีหลังได้รับเอกราช) มีมากมาย ทั้งในส่วนที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ คือ สร้างให้สิงคโปร์เป็นชาติทันสมัย มีความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งยวด ร่ำรวยเป็นอันดับ 6 ของโลก (วัดโดยรายได้ต่อคนต่อปี) และได้รับการคาดหมายจากหลายสำนักว่าจะเป็นประเทศที่จะมี per capita GDP (จีดีพีต่อหัว) สูงที่สุดในโลกในปี 2030 (เศรษฐกิจยังเติบโตดี ขณะที่ประชากรเพิ่มน้อยมาก) เป็นเมืองที่ถือว่าน่าลงทุน และน่าอยู่อาศัยในลำดับต้นๆ ของโลก
ปิยวรรณ กลิ่นศรีสุข
กันยายน 2559