ตับลีฆญามาอะห์ในอาเซียนเป็นขบวนการฟื้นฟูศาสนาอิสลามที่มีเครือข่ายทั่วโลกและมีอิทธิพลในภูมิภาค ที่เน้นแนวทางการปฏิรูปวิถีชีวิตของมุสลิมให้สอดคล้องกับหลักการศาสนาอิสลามและแนวทางของซูฟี
ตับลีฆญามาอะห์ มีสำนักงานใหญ่ที่เดลลี ประเทศอินเดีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ.1926 โดยมุฮัมมัด อิลยาส อัลคันดะฮ์ลาวี (Muhammad Ilyas al-Kandhlawi) อุดมการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่ม เน้นการปฏิรูปศาสนาอิสลาม การกระตุ้นให้มุสลิมศรัทธาต่อหลักการศาสนาอิสลามมากยิ่งขึ้น และการขจัดความเชื่อและอิทธิพลจากศาสนาฮินดูและคริสต์ที่แพร่หลายในขณะนั้น ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อศาสนาอิสลาม ในช่วงต้น ขบวนการตับลีฆญามาอะห์ทำการเคลื่อนไหวด้วยการปฏิรูปการศึกษาผ่านมัสยิดนิซามุดดีและมัสยิดบังเลอวาลี ที่เดลลี ในช่วงเวลาต่อมาได้เคลื่อนไหวผ่านขบวนการดาก์วะห์ ตับลีฆญามาอะห์ทำการเคลื่อนไหวทั้งในอินเดียและซาอุดิอารเบีย ซึ่งต่อมาตับลีฆญามาอะห์มีนายมุฮัมมัด ยูซุฟ อัลคันดะฮ์ลาวี (Muhammad Yusuf al-Kandhlawi) ผู้เป็นบุตรชายสืบทอดตำแหน่งผู้นำ และตามด้วยนายเมาลานา เอนอามูลหะซัน (Maulana In‘amul Hasan) เป็นผู้นำลำดับที่สาม ซึ่งรับตำแหน่งเมื่อ ค. ศ. 1965 การเผยแผ่แนวคิดของขบวนการตับลีฆญามาอะห์วางหลักการหกประการ คือ 1) ยึดมั่นต่อคำปฏิญาณตนต่อพระเจ้า 2) การละหมาดอย่างตั้งใจ 3) ระลึกถึงองค์ความรู้จากพระเจ้า 4) ให้เกียรติและช่วยเหลือพี่น้อมมุสลิมทั่วโลก 5) ความบริสุทธิ์ใจ และ 6) การเสียสละเพื่อพระเจ้า นอกจากนั้นขบวนการตับลีฆญามาอะห์ยังวางกฎระเบียบที่สมาชิกทุกคนต้องยึดมั่น หลักการหกประการนี้ถูกนำมาเผยแผ่ผ่านการดาก์วะห์ไม่พร้อมๆกับการสอนหลักการของศาสนาอิสลามในอัลกุรอานและหะดิส ซึ่งยุคนี้ขบวนการตับลีฆญามาอะห์ได้แพร่หลายเข้ามายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในมาเลเซียและไทย
การเผยแผ่อุดมการณ์ทางศาสนาของขบวนการตับลีฆญามาอะห์ยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดขึ้นจากกลุ่มนักเรียนศาสนาที่สำเร็จการศึกษาจากปอเนาะในท้องถิ่น และต้องการเรียนศาสนาอิสลามในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งมุสลิมในมาเลเซียและในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนิยมเดินทางไปศึกษาศาสนาอิสลามที่อินเดีย ประกอบกับสมาชิกขบวนการตับลีฆญามาอะห์ในอินเดียเข้ามาทำดาก์วะห์ในภูมิภาค โดยเฉพาะแหล่งชุมชนชาวอินเดีย และบริเวณเมือท่าสำคัญ โดยเฉพาะที่สิงคโปร์ ในช่วงต้น 1960 เป็นช่วงเวลาสำคัญของการสร้างชาติมาเลเซีย ขบวนการตับลีฆญามาอะห์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการผลักดันการใช้กฎและข้อห้ามตามหลักศาสนาอิสลามในวิถีชีวิตของมุสลิม การเคลื่อนไหวของขบวนการตับลีฆญามาอะห์ให้ความสำคัญกับการสอนอัลกุรอานขั้นพื้นฐานให้ถูกต้อง แต่ขบวนการตับลีฆญามาอะห์ไม่ได้เข้าร่วมผลัดดันการใช้กฎหมายอิสลามและไม่ได้มีผลต่อการขับเคลื่อนในการเมือง กิจกรรมของขบวนการตับลีฆญามาอะห์เป็นกลุ่มที่ออกมาวิจารณ์ปัญหาสังคม อาจจะกระเทือนต่ออำนาจของกลุ่มทางการเมืองอยู่บ้าง แต่ขบวนการตับลีฆญามาอะห์เน้นย้ำว่าไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในประเทศ
ขบวนการตับลีฆญามาอะห์เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในคาบสมุทรมลายู ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 โดยสมาชิกส่วนใหญ่เป็นครูสอนศาสนาและกลุ่มมุสลิมผู้สนใจการดาก์วะห์ โดยมีศูนย์กลางการดำเนินงานที่สุเหร่าในสิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ และปีนัง โดยเฉพาะบริเวณที่มีชุนชนอินเดียขบวนการตับลีฆญามาอะห์ในมาเลเซียได้ขยายตัวอย่างกว้างขวาง ระหว่างทศวรรษที่ 1960-1970 ขบวนการตับลีฆญามาอะห์ได้ขยายเครือข่ายในหมู่มุสลิมมลายูและชนบทมากขึ้น สมาชิกส่วนใหญ่เป็นมุสลิมเชื้อสายอินเดีย ปากีสถาน และชาวมลายู สมาชิกของขบวนการตับลีฆญามาอะห์ยึดมั่นในอิมามและผู้นำสูง ซึ่งมีความสำคัญในชุมชน ในประเทศไทย ขบวนการตับลีฆญามาอะห์มีศูนย์กลางการเคลื่อนไหวที่มัสยิดอัลนูรมัรกัส จังหวัดยะลา ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1993 โดยมีวิธีการเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับขบวนการตับลีฆญามาอะห์ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของขบวนการตับลีฆญามาอะห์ได้รับความนิยมในหมู่มุสลิมสายซูฟีในภูมิภาคอย่างมาก โดยเฉพาะการยึดมั่นและให้เกียรติผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นลักษณะสังคมที่มีมาตั้งแต่ยุคจารีต การเคลื่อนไหวของขบวนการตับลีฆญามาอะห์จึงเข้ากันได้ง่ายกับวิธีคิดและการปฏิบัติตนของมุสลิมในมาเลเซีย และในไทย นอกจากนั้น การเคลื่อนไหวของขบวนการตับลีฆญามาอะห์ใช้ภาษามลายูในการติดต่อสื่อสาร ส่งผลให้อัตลักษณ์ของชาวมลายูและการเป็นมุสลิมมีความโดดเด่นมากขึ้น
ปัจจุบัน การเคลื่อนไหวของขบวนการตับลีฆญามาอะห์ยังคงดำเนินอยู่ในลักษณะของขบวนการดาก์วะห์ และมีการจัดการประชุมสมาชิกประจำปี อย่างไรก็ตาม ขบวนการตับลีฆญามาอะห์ได้รับการต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์ จากขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูศาสนาอิสลามกลุ่มอื่นๆในลักษณะการตีความคัมภีร์ตามเจตคติของผู้รู้ทางศาสนาแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นการสอนศาสนาที่ขาดแบบแผน แม้ว่า ขบวนการตับลีฆญามาอะห์ก่อตั้งเป็นระยะเวลา มีเพียงการแสดงจำนวนสมาชิกเท่านั้นที่เป็นสัญลักษณ์การดำรงอยู่ของขบวนการตับลีฆญามาอะห์
ภัทรมน กาเหย็ม
ธันวาคม 2559