โจเซฟ เอสตราดา (Joseph Estrada) เขาเป็นทั้งอดีตนักแสดงและอดีตประธานาธิบดีลำดับที่ 13 ของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เอสตราดาเป็นผู้ลงสมัครประธานาธิบดีที่ได้รับคะแนนเสียงในการเลือกตั้งท่วมท้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา บทบาทสำคัญอย่างหนึ่งขอเขาในช่วงการเป็นประธานาธิบดีคือ การปฏิรูปตำรวจและทหาร อย่างไรก็ตาม เพียงประมาณ 2-3 ปีหลังเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ต้องพ้นจากการเป็นประธานาธิบดีและถูกจับในความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงเงิน
โจเซฟ เอสตราดา หรือในชื่อเดิมของเขาคือ โจเซฟ มาร์เซโล เอเฮอร์ซีโต (Joseph Marcelo Ejercito) เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน 1937 มีพี่น้อง 10 คน พ่อของเขาเป็นวิศวกรที่ทำงานให้กับภาครัฐนามว่า เอมิลิโอ เอเฮอร์ซิโต แม่ของเขาคือ มาเรีย มาร์เซโล ทั้งคู่เป็นเจ้าของที่ดินที่นับว่าร่ำรวยอยู่พอสมควร เดิมทีเอสตราดาเองนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวตามรอยของผู้เป็นพ่อ ภายหลังจากที่เขาจบการศึกษาขั้นต้นจากมหาวิทยาลัยอาเตเนโอ-เดอ-มะนิลา เอสตราดาได้เข้าศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่สถาบันเทคโนโลยีมาปัว อย่างไรก็ตาม ในหมู่พี่น้อง 10 คน เอสตราดาเป็นคนเดียวที่เรียนไม่จบการศึกษาขั้นสูง ภายหลังจากที่เขาศึกษาที่มาปัวได้ 3 ปี เขาก็ออกจากการเรียน ซึ่งด้วยเหตุนี้ พ่อแม่ของเอสตราดารู้สึกไม่พอใจอย่างมากต่อการกระทำของเขา ความขุ่นข้องทวีคูณมากขึ้นเมื่อเอสตราดาเลือกที่เส้นทางการเป็นนักแสดงแทนที่จะดิ้นรนในเส้นทางการเรียน พ่อแม่ของเขาถึงขั้นห้ามไม่ให้เขาใช้ชื่อสกุลที่ได้มาจากวงศ์ตระกูลหากเขาคิดจะยึดอาชีพที่ตนหวัง เอสตราดาจึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชื่อใหม่ของเขา “โจเซฟ เอสตราดา” นอกจากนี้ เขายังได้ตั้งชื่อเล่นให้กับตนเองว่า เอแรป อันเป็นคำที่มีที่มาจากศัพท์ภาษาสเปน
เอสตราดา เริ่มต้นชีวิตนักแสดงจากภาพยนตร์ของลัมเบอร์โต อเวลลานาที่มีชื่อเรื่องว่า Kandelerong Pilak ภาพยนตร์ดังกล่าวได้ออกฉายในปี 1954 หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แสดงภาพยนตร์กว่า 100 เรื่อง ซึ่งบทที่เขาแสดงมักเป็นบทชายหนุ่มผู้ห้าวหาญที่กล้าต้อสู้กับความอยุติธรรม นอกจากนี้ เอสตราดาเองก็เคยได้ผลิตภาพยนตร์ถึงประมาณ 70 เรื่องด้วยกัน ในช่วง 33 ปีที่เขาอยู่ในวงการบันเทิง เอสตราดาได้รับรางวัลด้านการแสดงมากมายรวมถึงได้รับการบันทึกไว้ในหอเกียรติยศของ Filipino Academy of Movie Arts and Sciences เอสตราดาเคยกล่าวเกี่ยวกับบทบาทที่เขาเคยแสดงว่า “ผมเคยเป็นทั้งคนขับรถ, หัวหน้าคนงาน หรือแม้แต่สมาชิกกองโจรคอมมิวนิสต์”
เอสตราดาเริ่มก้าวเข้าสู่เวทีทางการเมืองนับตั้งแต่ปี 1968 เขาเริ่มต้นที่สนามการเมืองท้องถิ่นด้วยการลงสมัครแข่งขันชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีกับดร. บราวลิโอ โดมิงโก ซึ่งการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองของเขาก็นับว่าเป็นไปอย่างทุลักทุเล อย่างไรก็ตาม เขาก็สามารถขึ้นมาเป็นนายกเทศมนตรีได้สำเร็จในปี 1969 และครองตำแหน่งต่อเนื่องยาวนานถึง 16 ปี โดยนโยบายต่างๆ ของเขาภายใต้การดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปการศึกษาและสวัสดิการด้านสุขภาพ เอสตราดาเลื่อนระดับจากการเมืองท้องถิ่นมาสู่การเมืองระดับประเทศในปี 1987 เมื่อเขาได้เข้าดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาฟิลิปปินส์ ในช่วงเวลาที่เขาได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว เอสตราดาก็ได้เป็นประธานคณะกรรมการการพัฒนาชนบทและคณะกรรมการประชาคมวัฒนธรรมอีกด้วย ในปี 1982 เอสตราดาได้รับเลือกให้เป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งบทบาทของเขาในช่วงเวลาดังกล่าวคือการร่วมงานกับประธานาธิบดีในการจัดการกับปัญหาอาชาญากรรมและจัดการกับอาชญากรที่มีคดีร้ายแรง
ในปี 1998 เอสตราดาได้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ จากทั้งคู่แข่งที่ร่วมลงสมัครแข่งขัน ร่วมทั้งการต่อต้านจากเหล่านักธุรกิจว่าด้วยนโยบายที่เขาใช้หาเสียงและจากคริสตจักรเกี่ยวกับความผิดเชิงศีลธรรมของเขา กระนั้นก็ตามเขายังคงได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีด้วยชัยชนะอย่างถล่มทลายจากคะแนนเสียงเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์จากเสียงการเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งนับเป็นประธานาธิบดีที่ได้รับคะแนนเสียงในการเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของฟิลิปปินส์ ในช่วงที่เอสตราดาได้ดำรงตำแหน่งผู้นำของฟิลิปปินส์เขาได้ดำเนินการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธโมโรอย่างเต็มกำลัง โดยสามารถบุดยึดฐานกำลังในที่ต่างๆ นอกจากนี้ เขายังได้ดำเนินการปฏิรูป “ชำระ” ระบบทหารและตำรวจของฟิลิปปินส์และดำเนินนโยบายช่วยเหลือคนที่ยังคงประสบกับปัญหาความยากจน
หากนับตามวาระแล้ว เอสตราดาสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ถึง 6 ปี กระนั้นก็ตาม ผ่านไปเพียงครึ่งวาระก็มีเหตุให้เอสตราดาจำต้องออกจากตำแหน่ง โดยเริ่มต้นจากการที่ได้มีการกล่าวหาเขาว่ารับสินบนเป็นจำนวนเงินถึงหลายล้านดอลลาร์ เอสตราดาได้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบโดยวุฒิสภา อย่างไรก็ตามก็ได้มีความพยายามที่จะคัดค้านของสมาชิกวุฒิสภาบางรายที่ไม่เห็นด้วยต่อการเปิดเผยบัญชีการเงินของเอสตราดา ซึ่งความพยายามดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ในปี 2001 ทำให้เอสตราดาต้องออกจากตำแหน่งและถูกคุมตัวเป็นเวลาถึง 6 ปี ด้วยข้อหาฉ้อโกง เขาได้รับการปล่อยตัวในปี 2007 จากการเว้นโทษโดยประธานาธิบดีกลอเรีย อาโรโย เอสตราดาได้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 2010 แต่ก็พ่ายให้กับเบนิกโน อากิโนที่ 3 ปัจจุบัน เอสตราดาได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีมะนิลาสมัยที่สองหลังจากชนะการเลือกตั้งอย่างเฉียดฉิวกับอัลเฟรโด ลิม
กาญจนพงค์ รินสินธุ์