ตนกู อับดุลเราะห์มาน (Tuanku Abdul Rahman) เป็นผู้นำที่เรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศมาเลเซีย นับเป็นบุคคลท่านหนึ่งที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมท อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของไทย ให้ความเคารพนับถือเป็นอันมาก ตลอดจนเป็นผู้ที่รู้จักมักคุ้น ไปมาหาสู่กันอยู่ตลอดเวลา ยามใดที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ว่างเว้นจากภารกิจการงาน ก็มักจะพาคณะศิษย์ไปเยี่ยมตนกูถึงที่บ้านในเมืองอลอร์สตาร์ รัฐเคดาห์
ตนกู อับดุล เราะห์มาน เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1903 ที่วังอิสตานาเปอลามิน เมืองอลอร์สตาร์ รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ช่วงเวลาที่ตนกูเกิดนั้น มาเลเซียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ บิดาของตนกูคือ เจ้าพระยาไทรบุรี (อับดุลฮามิด) สุลต่านองค์ที่ 24 แห่งรัฐเคดาห์ ส่วนมารดาขอตนกูนั้นเป็นชาวไทยชื่อ หม่อมเนื่อง สกุลเดิม “นนทนาคร” ซึ่งเป็นบุรีของหลวงบุรานุรักษ์ เจ้าเมืองนนทบุรี ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช รัชกาลที่ 5
ภายหลังที่ตนกูได้จบการศึกษาในประถมศึกษาที่บ้านเกิดแล้ว ในปี 1913 ได้เดินทางมาศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ร่วมกับพี่ชายอีก 3 คน โดยศึกษาอยู่เป็นเวลาสองปี หลังจากนั้นได้เดินทางกลับไปศึกษาที่เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย ครั้นต่อมาท่านเป็นนักเรียนคนแรกที่ได้รับทุนจากรัฐบาลรัฐเคดาห์ให้ไปศึกษาต่อทางศิลปะศาสตร์ที่ประเทศอังกฤษ ณ วิทยาลัยเซนต์แคททรีน มหาวิทยาลัยแคมบรดจ์ และภายหลังได้ศึกษาต่อทางกฎหมาย
หลังจากจบการศึกษา ได้กลับมารับราชการที่สำนักงานกฎหมายเมืองอลอร์ สตาร์บ้านเกิด ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัยการ และได้ย้ายไปรับราชการในกัวลาลัมเปอร์ โดยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานศาล ระหว่างทีรับราชการในกัวลาลัมเปอร์ ได้เกิดเหตุการณ์การต่อต้านเจ้าอาณานิคมอังกฤษ ในช่วงเวลาดังกล่าวเอง ตนกูได้ตัดสินใจเข้าสู่แวดวงทางการเมือง
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นยึดมลายูได้ รัฐไทรบุรีหลุดจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ มาอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นแทน เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามอังกฤษก็กลับมาเป็นเจ้าอาณานิคมปกครองมลายูเช่นเดิม ช่วงนี้มีพรรคแนวร่วมชาตินิยมมลายูหรือพรรคอัมโนเกิดขึ้น หัวหน้าพรรคคือ ดะโต๊ะออนน์ บิน จาฟาร์ โดยมี ตนกูอับดุล เราะห์มาน สมัครเข้าเป็นสมาชิกด้วย เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1951 ตนกูอับดุล เราะห์มาน มีความโดดเด่นมาก จึงได้รับเลือกตั้งให้เป็นหัวหน้าพรรคแทนดะโต๊ะออนน์ หลังจากนั้นตนกูได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธารพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย
ต่อมาในปี 1954 ได้เป็นตัวแทนผู้แทนคณะเจรจาขอเอกราชคืนจากอังกฤษ ในปีถัดมาเมื่อปี 1955 ตนกูได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย และได้รณรงค์เรียกร้องเอกราชมาอย่างต่อเนื่อง จนประเทศมาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1957 ตนกูจึงนับเป็นนายกรัฐมนตรีคนรกของประเทศมาเลเซีย ตลอดจนได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งประเทศาเลเซีย” นับแต่นั้นเป็นต้นมา
การดำเนินนโยบายของ ตนกูอับดุล รอฮ์มาน ที่เจรจาจนให้ให้ชนชาติต่างๆ รวมกันเป็นชาติ ร่วมสร้างประเทศสหพันธ์มลายูด้วยกัน รวมทั้งยังเจรจาให้สุลต่านทั้ง 9 รัฐ สลับกันขึ้นเป็นประมุขของชาติ อันแสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยที่นิยมความรอมชอมและมีบุคลิกการประนีประนอมสูง
สอดคล้องกับข้อเขียนของท่าน ในฐานะศิษย์เก่าโรงเรียนเทพศิรินทร์ (รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างวัดและโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นเพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระมเหสีในรัชกาลที่ 4 พระราชชนนีผู้มีเชื้อสายมอญของพระองค์) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ที่ส่งบทความมาร่วมตีพิมพ์ตามคำขอเพื่อลงในหนังสือ “ชื่นชุมนุม” ที่คณะกรรมการจัดงานได้จัดทำขึ้นเป็นอนุสรณ์ในวาระที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดสโมสรสถานของสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ ที่ถนนราชดำริ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1966 ตนกูอับดุล รอฮ์มาน ได้ส่งข้อเขียนมาเป็นภาษาอังกฤษ และมีผู้แปลเป็นภาษาไทย ข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงความประทับใจในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้รับการศึกษาในเมืองไทย และมีนัยยะของเนื้อความที่สื่อถึงทิศทางความสัมพันธ์ของสองประเทศนับจากนี้ไป
“...ข้าพเจ้าระลึกถึงชีวิตเด็กที่เทพศิรินทร์ด้วยความปีติเป็นอันมาก การศึกษาที่ข้าพเจ้าได้รับจากที่นั่นและชีวิตที่เคยอยู่ในประเทศไทย นับเป็นทุนทรัพย์อันมีค่าอย่างแท้จริง ในการปฏิบัติงานปัจจุบันของข้าพเจ้าในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพราะความรักในชีวิตไทยของข้าพเจ้า ช่วยอำนวยให้เกิดความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างประเทศทั้งสองของเรา…”
ต่อมาตนกูอับดุล เราะห์มาน นำเอาสิงคโปร์ บอร์เนียวเหนือ และซาราวัก ซึ่งยังไม่ได้เอกราชมาเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์มลายู และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นสหพันธ์มาเลเซีย เมื่อ 16 กันยายน 1963 ตนกูอับดุล เราะห์มาน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ 7 ปี ก็ลาออกเพราะขัดแย้งกับนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ชื่อ ดร.มหฎีร์ มุฮัมหมัด และถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ 6 ธันวาคม ปี 2000
หาก ตนกูอับดุล เราะห์มาน ยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ ความหลากหลายในสายเลือดและการใช้ชีวิตในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน น่าจะเป็นจุดหลอมรวมสำคัญที่ทำให้ผู้คนในภูมิภาคนี้อยู่ร่วมกันอย่างคนที่เข้าใจและเห็นใจซึ่งกันและกันมากกว่านี้
นูรุลฮูดา ฮามะ
กรกฎาคม 2559
เอกสารสำหรับค้นคว้าเพิ่มเติม
Barnard, RohayatiPaseng and Timothy P. Barnard. “The Ambivalence of P. Ramlee: PenarekBeca and BujangLapok in Perspective.” Asian Cinema13, 2 (Fall/Winter 2002): 9-23.
Barnard, Timothy P. “Film, Literature, and Context in Southeast Asia: P. Ramlee, Malay Cinema, and History.” In Southeast Asian Studies: Debates and New Directions, edited by Cynthia Chou and Vincent Houben, 162-79. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies, 2006.
Harding, James and Ahmad Sarji.P. Ramlee: The Bright Star. Subang Jaya, Selangor: Pelanduk, 2002.
Ramli Ismail. KenanganAbadi P. Ramlee. Kuala Lumpur: Adhicipta, 1998.