เล เลือง มิงห์ (Lê Lương Minh) เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันในฐานะเลขาธิการองค์การอาเซียนของปัจจุบัน อย่างไรก็ตามก่อนหน้าที่เขาจะเข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าว เล เลือง มิงห์ก็นับว่ามีประสบการณ์ในแวดวงระหว่างประเทศอยู่ไม่น้อยจากการที่เขาเคยทำงานในองค์การระหว่างประเทศมาก่อนเป็นเวลานาน การเข้ามาของเล เลือง มิงห์ในฐานะเลขาธิการคนใหม่ขององค์การอาเซียนได้นำมาซึ่งความหวังของหลายฝ่ายที่จะให้องค์การความร่วมมือดังกล่าวเข้มแข็งขึ้นภายใต้การนำของเขา
เล เลือง มิงห์เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ. 1952 เขาเข้าศึกษาในด้านการทูตที่มหาวิทยาลัยการต่างประเทศ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม และจบการศึกษาระดับดังกล่าวในปี 1974 ต่อมาเขาเข้าศึกษาต่อในด้านภาษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยยาวะหะราลเนห์รู ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ในปี ค.ศ. 1975 เขาได้เริ่มต้นบทบาททางการเมืองในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเวียดนาม วิถีทางการเมืองของเขายังคงดำเนินไปในแวดวงการต่างประเทศ เมื่อในปี ค.ศ. 1993 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองอธิบดีองค์การระหว่างประเทศ และในปี ค.ศ. 1995 ได้เข้าทำงานการทูตในองค์การสหประชาชาติ ในฐานะตัวแทนอย่างถาวรจากเวียดนามในสำนักงานองค์การสหประชาชาติสาขากรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวเขายังมีหน้าที่การงานในองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ในกรุงเจนีวา ในปี ค.ศ. 1997 เส้นทางในฐานะผู้ทำงานด้านการทูตระหว่างประเทศก็ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เมื่อเขาได้เข้ารับตำแหน่งในสำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะรองผู้แทนถาวร
เล เลือง มิงห์ดำรงตำแหน่งอธิบดีองค์การระหว่างประเทศในสังกัดของกระทรวงการต่างประเทศของเวียดนามในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1999 – 2002 และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 - 2004 เขาได้ดำรงตำแหน่งอธิบดีด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจแบบพหุภาคีในกระทรวงการต่างประเทศของเวียดนาม หลังจากนั้นในช่วงปี ค.ศ. 2004-2011 ตำแหน่งในแวดวงการต่างประเทศของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นจากการที่เขาได้กลายเป็นได้เลื่อนขั้นเป็นผู้แทนถาวรในองค์การสหประชาชาติ และได้รับตำแหน่งเป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในปี ค.ศ. 2008 และ 2009 ประสบการณ์ต่างๆ ของเขาทั้งในระดับการเมืองภายในประเทศและองค์การระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติ ที่เขาทำงานภายในองค์กรดังกล่าวเป็นเวลาถึง 14 ปี อาจทำให้กล่าวได้ว่าว่าเล เลือง มิงห์เองก็มีประสบการณ์ในการทำงานด้านการทูตภายในแวดวงกิจการระหว่างประเทศอยู่สูงไม่น้อยก้อนที่จะเข้าดำรงตำแหน่งในฐานะเลขาธิการองค์การอาเซียนคนปัจจุบัน
ในปี ค.ศ. 2013 เล เลือง มิงห์ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเวียดนาม ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การอาเซียนต่อจากอดีตเลขาธิการอาเซียนคนก่อนคือ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ พิธีรับมอบตำแหน่งดังกล่าวถูกจัดขึ้นในวันที่ 7 มกราคม ที่สำนักงานใหญ่อาเซียน กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยเล เลือง มิงห์จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การอาเซียนเป็นวาระ 5 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 – 2017 ซึ่งหลังได้รับตำแหน่งแล้ว เขาก็ได้กล่าวว่า ในฐานะเลขาธิการองค์การอาเซียน ภารกิจเร่งด่วนสำหรับเขาคือ การทำให้แผนการเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งถูกจัดวางไว้ว่าจะให้มีขึ้นในช่วงต้นปี 2016 ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และนอกจากนี้เล เลือง มิงห์ยังได้กล่าวถึงประเด็นความความมั่นคง ซึ่งเขาได้กล่าวว่า อาเซียนจะต้องหาข้อสรุปในกรณีพิพาททะเลจีนใต้ให้ได้ และรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยวิธีการเจรจาในขณะเดียวกันก็ต้องธำรงไว้ซึ่งความเป็นกลาง
แม้ว่าในทางหนึ่งจะมีความเห็นที่มองว่าการเข้ามามีบทบาทของเล เลือง มิงห์ในฐานะเลขาธิการองค์การอาเซียนจะเป็นเหมือนการเหมือนงานแปลกใหม่ที่ท้าทายสำหรับข้าราชการการเมืองของเวียดนามผู้นี้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการเมืองในเวียดนามค่อนข้างที่จะ “ดำมืด” และเข้าถึงได้ยาก อย่างไรก็ตาม นักวิชาการในอาเซียนหลายท่านเชื่อว่าว่าการเข้ามามีบทบาทของเลขาธิการคนใหม่ผู้นี้จะนำช่วยให้สำนักเลขาธิการอาเซียนรวมไปองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสถานะที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ภายใต้บทบาทเลขาธิการ เล เลือง มิงห์ได้มีการวางแผนที่จะขยับขยายสำนักงานเลขาธิการองค์การอาเซียนด้วยจุดประสงค์เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของคณะทำงาน นอกจากนี้เขายังได้เจรจากับสหภาพยุโรปในการเพื่อที่จะนำมาซึ่งความร่วมมือระหว่างกันกับอาเซียน ทั้งยังได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอันจะนำมาซึ่งการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาแก่สำนักงานเลขาธิการอาเซียน นอกจากนี้ในประเด็นกรณีพิพาททะเลจีนใต้ เขาได้วิพากษ์วิจารณ์วิจารณ์รัฐบาลปักกิ่งว่ากำลังทำลายความเชื่อใจกันระหว่างจีนกับอาเซียน ซึ่งท่าทีของเขาได้แสดงให้เห็นว่าอาเซียนซึ่งพยายามจะสร้างความเข้มแข็งมากขึ้นจะเข้ามามีบทบาทในการยุติปัญหากรณีพิพาททะเลจีนใต้อย่างจริงจัง
กาญจนพงค์ รินสินธุ์
กรกฎาคม 2559