โบตัก ชิน (Botak Chin) มีชื่อจริงว่า หวาง สวี ชิน (Wong Swee Chin) เกิดเมื่อปี 1951 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เขามีพี่น้องทั้งหมด 10 คน พ่อเป็นคนวัยเกษียณอายุที่ทำงานในการรถไฟมาเลเซีย ช่วงชีวิตวัยเด็กนั้นเขาอาศัยอยู่ในที่พักของการรถไฟมาเลเซียติดกับปั้มน้ำมันคาลเท็กซ์บนถนนจาลัน อีโป๊ะห์ ชินถือสัญชาติมาเลเซีย นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท เขาเรียนระดับประถมศึกษาในโรงเรียนชาวจีนพื้นถิ่นและศึกษาต่อจนจบมัธยมต้น ก่อนออกไปทำงานขายปลาในตลาดตุน อิสมาอิล (Tun Ismail market) หลังแม่ของเขาเสียชีวิตและเริ่มใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนมากกว่าครอบครัว นำพาเขาเข้าสู่วงการอาชญากรรมและแก๊ง 360 ต่อมาในปี 1969 เริ่มปล้นครั้งแรกในวัย 18 ปี ด้วยอาวุธปืนจุด 22 ติดลำกล้อง
ต่อมาเขาตั้งแก๊งของตัวเองและทำการปล้นด้วยอาวุธปืนถึงแปดครั้งภายในเดือนเดียว จากเขาถูกจับกุมเป็นครั้งแรกและศาลพิพากษาจำคุก 7 ปี แต่เขาได้รับการปล่อยก่อนครบโทษที่ได้รับ ทั้งยังพยายามออกจากวงการโจรกรรมแต่ไม่สำเร็จ เขารวมแก๊งของตนเข้ากับแก๊งหงาเฉิงหว่อง (Ng Cheng Wong) , แก๊งเบะห์กกชิน (Beh Kok Chin) , แก๊งเตะห์โบกลาย์ (Teh Bok Lay) ในวันที่ 2 มิถุนายน 1975 แก๊งของเขาบุกทำลายการเล่นพนันที่ผิดกฎหมายในเซินตูลและขโมยเงินมา 5,800 ริงกิต จากนั้นเขานำเงินที่ได้ไปลงทุนทำธุรกิจและข้ามชายแดนไปซื้ออาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนในไทย หลังจากนั้นแก๊งของเขาถ่ายภาพการยิงสุนัขจรจัดที่เหมืองดีบุกในเกอปงและเดินควงปืนในตลาดเซินตูลโดยไม่มีใครกล้าแจ้งตำรวจเพราะกลัวถูกทำร้าย วันที่ 20 กรกฎาคมปี 1975 เมื่ออาวุธมากขึ้นเขาจึงเรียกมันว่า "เครื่องมือทางการค้า" ทำให้แก๊งมีความทะเยอทะยานและก้าวร้าวมากขึ้น พวกเขาเริ่มปล้นธนาคารบนถนนอิมบี และหนีไปพร้อมกับเงินกว่า95,000 ริงกิต รวมทั้งปล้นการเล่นไพ่นกกระจอกหลายครั้งในวัดชาวจีนที่ถนนโกลัมอาเยอร์ ได้เงินเพิ่มอีก 10,000 ริงกิต และนำเงินไปซื้อรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศราคาสูงอย่าง ดัทสัน (Datsun)
ความหวาดกลัวที่ชินสร้างขึ้นในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ทำให้รองผู้กำกับการตำรวจเอส กุลาซิงัม (S Kulasingam) ซึ่งได้รับฉายาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงว่า มือปราบอาชญากรรมแห่งกัวลาลัมเปอร์ ได้รับมอบหมายให้จับกุมตัว โบตัก ชิน เมื่อกำลังถูกตามล่าเขาจึงต้องการอาวุธมากขึ้นเพื่อนำมาต่อสู้กับตำรวจและแก๊งคู่อริ นำสู่การปล้นที่เพิ่มมากขึ้นและขยายอิทธิพลได้อย่างเข้มแข็ง เกิดการปล้นตำรวจสามคนและยึดปืนของพวกเขา แสดงให้เห็นถึงความไม่เกรงกลัวกฎหมายของคนกลุ่มนี้
ชินเดินทางเข้าในไทยบ่อยครั้งเพื่อจัดหาอาวุธปืนผิดกฎหมายและสักยันต์ป้องกันตัวจากจอมขมังเวทย์ชาวไทย จึงมีข่าวลือว่าเขาสามารถหลีกเลี่ยงการจับกุม และรอดจากการปะทะกับตำรวจหลายครั้งเพราะยันต์พระปิดตาที่เขาได้รับมาจากจอมขมังเวทย์ชาวไทย อย่างการปะทะกับตำรวจในตำบลเซอกัมบุต ดาลัม รถของชินโดนยิงจำนวนมากแต่เขารอดมาได้ จึงมีคนเชื่อว่ายันต์ทำให้เขาคงกระพันจากกระสุน มีดและยาพิษ บางคนเชื่อว่าเขามีพระเครื่องที่ทำให้มองไม่เห็น
วันที่ 26 ตุลาคม 1975 แก๊งของเขาปล้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระหว่างการลำเลียงเงินไปส่งมอบให้กับสโมสร จากนั้นก็หนีไปพร้อมเงิน 218,000 ริงกิต โดยชินแบ่งเงินติดตัวไปด้วยประมาณ 40,000 ริงกิต เพื่อไปซื้ออาวุธปืนในไทย คดีโจรกรรมจำนวนมากที่แก๊งของเขาก่อทำให้ตำรวจต้องการตัวเขามากขึ้นและเพิ่มการแข่งขันในการขยายอิทธิพลกับแก๊งอื่นๆ ศาลฎีกาแห่งกรุงกัวลาลัมเปอร์มุ่งความสนใจไปในสงครามแก๊งอย่าง สงครามแก๊งที่เหมืองแร่ดีบุกร้างในเขต จินจาง (Jinjang) ระหว่างแก๊งของเขากับแก๊งภูเขาห้าองคุลี (Five Finger Mountain) ของตั้วปุยเล็กหนึ่งในคู่อริ ต่อมาช่วงต้นปี 1976 โบตัก ชินคัดเลือกสมาชิกใหม่เข้าสู่แก๊ง จากนั้นเขาทำการโจรกรรม 3 ครั้งและหนีไปพร้อมกับเงิน 400,000 ริงกิต แต่สมาชิกแก๊งหลายคนได้รับบาดเจ็บหนัก มีเจ็ดคนถูกยิงเสียชีวิตและสามคนถูกจับ ตำรวจยึดอาวุธปืนได้15 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุนและมือระเบิด
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1976 โบตัก ชินถูกตำรวจยิงหกแผลได้รับบาดเจ็บสาหัส และโดนจับกุมตัวที่โรงเลื่อยเอิง เลออง เนื่องจากปาง กอก เชอ (Pang Kok Chye) และอา เคียง (Ah Keong) เป็นเหยื่อล่อตัวชินไปที่โรงเลื่อย หลังจากนั้นเขาโดนเปลี่ยนตัวรับสัญญาณและเริ่มต้นการยิงจากนอกโรงงาน พร้อมระเบิดควันและหมดสติไป จนฟื้นคืนสติอีกครั้งที่โรงพยาบาล เขาปฏิเสธการมีส่วนร่วมในการโจรกรรมที่เขาทำและอ้างว่าโจรอื่นๆ ใช้ชื่อของเขาเพื่อป้ายความผิดให้กับเขา อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงเบิกความในศาลว่า ชินบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถ้าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอยู่เขาจะฆ่าคนได้อีกมาก หลังตำรวจค้นตัวชินพบห่อผ้าสีเขียวที่มีหนังสือภาษาไทยและกระเป๋าพลาสติกสีเขียวที่มีบันทึกอยู่ภายใน นอกจากนี้เขายังสวมเครื่องรางของขลัง 3 เส้น บริเวณคอและสะเอว รวมทั้งนาฬิกาโรเล็กซ์ สร้อยทองพร้อมจี้ทอง 2 เส้น แหวนหยก และกระเป๋าสตางค์
วันที่ 12 พฤษภาคม 1980 โบตัก ชิน อายุ 27 ปี ในการพิจารณาคดีที่ศาลสูงกัวลาลัมเปอร์ เขาปฏิเสธการมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนอยู่ในครอบครอง รวมทั้งการเป็นเจ้าของกระสุนที่พบในกระเป๋าขณะที่ตำรวจกำลังเข้าจับกุม แต่เขาสารภาพผิดข้อหาภายใต้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน (Internal Security Act) และเป็นครั้งแรกที่มาเลเซียพระราชบัญญัติดังกล่าว ในปีเดียวกันเขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยศาลสูงกัวลาลัมเปอร์ ทนายความของเขาจึงยื่นข้ออุทธรณ์ไปยังคณะองคมนตรีการอุทธรณ์และได้รับการยอมรับ แต่การยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาและคณะกรรมการได้ปฏิเสธการอุทธรณ์ ต่อมาในวันที่ 1 มกราคม 1981 เขาพยายามจะหนีออกจากเรือนจำพูดูถึงจะไม่สำเร็จก็ตาม แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายครั้ง โบตัก ชิน หนึ่งวันก่อนการประหาร เขาพยายามปลอบใจด้วยศาสนาและบริจาคอวัยวะเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์แต่คำขอถูกปฏิเสธ เขาถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอภายในเรือนจำพูดูเวลา 3:00 นาฬิกาของวันที่ 11 มิถุนายน 1981 โบตัก ชินจึงจบชีวิตลงในวัย 29 ปี
ก่อนหน้านี้ โบตัก ชินได้รับการรักษาจากดร. มหาเดอวัน (Dr. Mahadevan) อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลทางจิตบาฮาเกีย อูลู คินตา (Hospital Bahagia Ulu Kinta) ในเปรัคอยู่ 19 วัน เพื่อตรวจสอบระดับสติปัญญาของเขา ซึ่งพบว่าเขาฉลาดมากแต่เป็นอัจฉริยะผู้หลงผิด ชินกล่าวว่าในสมัยยังเป็นหนุ่มเขาเคยอยากช่วยคนยากจน ปกป้องพวกเขาจากการกดขี่ข่มแหงของเจ้าหน้าที่รัฐและการถูกกรรโชกทรัพย์จากโจร เมื่อเขาถูกทำร้ายอย่างไร้ความปราณีโดยชาวแก๊งที่เข้ามาในตลาดเพื่อจะรีดไถเงินจากเขา แต่ชินต่อสู้จนสามารถเอาชนะได้ มันทำให้เขากระดูกคอร้าว ทั้งยังเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตนำมาสู่การเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้และเข้าร่วมแก๊งเพื่อการปกป้องเขาจากแก๊งอื่น เกิดสมาคมลับของเขาที่สาบานว่าจะไม่ใช้ประโยชน์ของคนยากจน และไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นสมาคมลับที่ถูกชี้นำโดยปรัชญาของเขาภายใต้หลักการและแนวทางอันเข้มงวด ทุกคนต้องปฏิบัติให้มีระเบียบวินัยแบบทหารและดูแลความสงบเรียบร้อยภายในแก๊ง
เขาได้รับการยกย่องจากคนในชุมชน ว่าเป็นโรบินฮู้ดเพราะเขาปล้นเงินจากคนรวยและมาให้แก่คนยากจน อันรวมถึงสมาชิกแก๊งและครอบครัวของสมาชิกที่ถูกฆ่าหรือถูกตำรวจจับ จึงสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาการจับกุมของตำรวจไปได้หลายครั้งเพราะคนยากจนในพื้นที่ต่างๆ คอยช่วยให้เขาหลบหนีอยู่เสมอ โดยในช่วงที่เขาอยู่ในโรงพยาบาล มักจะมีผู้ป่วยหลายคนมาซักเสื้อผ้าและดูแลเขาเป็นอย่างดี ถึงแม้ชินไม่เคยแต่งงานแต่จะมีผู้หญิงเข้ามาหาเขาอยู่เสมอ
ฐิติพงศ์ มาคง
พฤษภาคม 2559